จักรวาลคู่ขนาน

จักรวาลคู่ขนาน

ความสนใจ ที่ลุงพุฒมี ในวิชา โหราศาสตร์ ก็เพราะเสน่ห์ ของวิชาโหราศาสตร์ ที่ชวน ให้น่าหลงใหล ครับ เป็นความหลงใหล อย่างเดียวกับ ที่ลุงพุฒมี ให้กับวิชา ฟิสิกส์ ที่เรียกว่า โมเดิร์นฟิสิกส์ และรวมไปถึง เรื่องของ เอกภพ และรวมไปถึง เอกภพคู่ขนา หรือ จักรวาลคู่ขนาน ด้วย

จะบอกว่า ความน่าสนใจ อยู่ที่ ความลี้ลับ ที่น่าค้นหา ก็ใช่ครับ

และจริงๆแล้ว ก็ยังมี ความน่าหลงใหล อีกอย่างหนึ่ง (และ ลุงพุฒ ก็ให้ความสำคัญ ที่สุดด้วย) นั่นก็คือ พระพุทธศาสนา ซึ่งรวมไปถึง เรื่องจิต เรื่องปัญญาในพระพุทธศาสนา และเรื่องการเจริญสติปัฎฐาน ๔

ธรรมจักร
ธรรมจักร

แต่ความน่าสนใจ ความน่าหลงใหล เหล่านี้ ไม่ได้ทำให้ ลุงพุฒ สนใจ ที่ถกเถียง หรืออภิปราย กับใคร หรอกนะครับ ยกเว้น กรณีเดียว คือ กรณี “นิพพานเป็นอัตตา” ที่ลุงพุฒ เข้าไปถกเถียงด้วย อย่างจริงจัง มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ โน่นแน่ะครับ ในนามแฝง “พัลวัน” ที่ pantip.com

จริงแล้วในตอนนั้น ลุงพุฒ ไปเล่นเว็บบอร์ดที่นั่น ก็เพราะ อยากจะไปคุยในเรื่องฟิสิกส์นี่ล่ะครับ โดยที่คิดว่า จะไม่คุย ๒ เรื่อง คือ ไม่คุยเรื่องการเมือง และไม่คุยเรื่องศาสนา หรือ ลัทธิความเชื่อใดๆ เหตุเพราะ ลุงพุฒ ได้รับการอบรมมาจากโรงเรียน แบบนี้

แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เลยนะครับ มันต่างออกไป สถานการณ์ในปัจจุบัน เอาเรื่องของการเมือง ไปเกี่ยวซะทุกเรื่อง และใช้การเมือง หรือความเชื่อในการเมือง ไปตัดสินทุกเรื่องทุกอย่าง จนเปรอะไปหมด ครับ

หรือแม้แต่ในเรื่องของศาสนาก็เหมือนกันครับ เมื่อเห็นว่า ศาสนา ไม่ตอบสนอง ความต้องการของตนเอง ก็ถึงกับประกาศขึ้นมาว่า “พุทธศาสนา เข้าไปเพิ่มอำนาจให้กับคนบางกลุ่มรอนอำนาจให้กับคนบางกลุ่ม” ไปหาอ่านเอาเอง นะครับ ลุงพุฒไม่อยากจะเกี่ยวข้องด้วย

นักวิชาการ มักจะจม อยู่กับความคิด และมุมมองโลก ของตัวเอง
นักวิชาการ มักจะจม อยู่กับความคิด และมุมมองโลก ของตัวเอง

นักวิชาการ ที่ไปศึกษา หรือไปเรียน มาจากตะวันตก ก็ไปรับเอาอิทธิพลแนวคิด การต่อต้านศาสนา เอาไว้ เพราะในสมัยยุคมืดของยุโรป หรือที่เรียกว่า ยุคกลาง ก็มีเหตุการณ์ ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ ต้องถูกโทษคุมขัง เพราะวิทยาศาสตร์ ไปขัดแย้ง กับความเชื่อทางศาสนา

ตัวอย่างในกรณีที่เรารู้จักเป็นอย่างดี คือ กาลิเลโอ กาลิเลอี (แต่จุดจบ ของ กาลิเลโอ กาลิเลอี มี ๒ แบบ ซึ่งไม่รู้ว่า เป็นแบบไหน บ้างก็ว่า กินยาพิษในห้องขัง บ้างก็ว่า อาศัยเส้นสาย ก็เลยต้องโทษจำคุก แต่ไม่ได้ดื่มยาพิษ

หรืออย่าง โสเครติส ก็ต้องตายด้วยยาพิษ ในรัฐบาลที่เชื่อกันว่า เป็นประชาธิปไตย เพราะเขามีความผิดหนักฐาน ลบหลู่พระเจ้า (แต่ลงพุฒก็ไม่ทราบนะครับว่า โสเครติส นั้น ลบหลู่พระเจ้าองค์ใด)

โสเครติส
โสเครติส

ซึ่งในเรื่องนี้ ก็วกกลับมาแว้งกัด พระพุทธศาสนา ด้วย ด้วยคิดว่า พระพุทธศาสนา มีเรื่องของ วาสนา บารมี ทำให้ คนที่คิดจะเป็นใหญ่ ไม่สามารถ ที่จะช่วงชิงอำนาจ มาเป็นของตน ทำไม่ได้ เพราะคนไทย เชื่อในเรื่องของ วาสนา บารมี

ความเชื่อดังกล่าว ทำให้ หาผู้คนคล้อยตามได้ยาก จึงต่อต้าน พระพุทธศาสนา ไปด้วย แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ แต่เป็นเรื่อง การทำความดี ที่ทำต่อเนื่องยาวนาน โดยไม่ได้ แสวงประโยชน์ใส่ตน ต่างหากล่ะครับ

หรือแม้แต่ คลั่งไคล้ใน วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มากๆ จนพาลคิดไปว่า เมื่อมี เอกภพคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน แล้ว ก็ย่อมต้องมี พระพุทธเจ้า ของแต่ละจักรวาล ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่อาจเกี่ยวข้องกันแม้แต่ ไม่รู้จักกัน ไม่อาจสื่อสาร กันได้ด้วยซ้ำไป

พระพุทธเจ้ากับพหุจักรวาล
พระพุทธเจ้ากับพหุจักรวาล

ก็ก่อนที่จะเตลิด คิดกันไปถึงขนาดนั้น ต้องกลับมาที่ คำถามพื้นฐาน กันก่อนว่า เอกภพคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน มีจริงมั้ย

เอกภพคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน มีจริงหรือ?

เวลาที่มีคนอธิบาย เรื่อง เอกภพคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน ลุงพุฒก็มักจะได้ยิน คำอธิบาย ว่า ถ้ามี นาย ก. ในจักรวาลนี้ ก็จะมี นาย ก. ในอีกจักรวาลหนึ่ง ซึ่งอาจมี คุณสมบัติ ที่ต่างกัน

เช่น นาย ก. ในจักรวาลหนึ่ง ฉลาดเป็นกรด แต่ นาย ก. ในอีกจักรวาลหนึ่ง อาจเป็นคนปัญญาอ่อน ก็ได้

คำอธิบายนี้ ดูน่าคิด ดูน่าเชื่อถือ แต่สิ่งที่ทำให้ ลุงพุฒ รู้สึกเชื่อไม่ลง ก็เพราะว่า หากว่า ในขณะใดขณะหนึ่ง มี นาย ก. กับ นาย ก. ที่อยู่คนละจักรวาล และมีคุณสมบัติบางอย่าง ที่ต่างกัน ซึ่งก็หมายความว่า นาย ก. ในจักรวาลหนึ่ง มีการกระทำ ที่ต่างจาก นาย ก. ที่อยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง

นั่นก็แปลว่า นาย ก. ในจักรวาลหนึ่ง เริ่มมีความต่างกัน กับ นาย ก. ในอีกจักรวาลหนึ่ง เท่านี้ ก็ไม่น่าจะเป็น “คู่ขนาน” ได้แล้วนะครับ

จักรวาลคู่ขนาน
จักรวาลคู่ขนาน

ลองอธิบายแบบง่ายๆ นะครับ สมมุติว่า หาก นาย ก. เริ่มต้นพร้อมกัน กับ นาย ก. ในอีกจักรวาลหนึ่ง ที่จุดเริ่มต้นของ จักรวาล (ก็มันเป็น เอกภพคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน ดังนั้น เมื่อเริ่มต้น หรือเมื่อจักรวาลเกิดขึ้น มันต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน มิใช่หรือ)

แต่ นาย ก. ในจักรวาลหนึ่ง ฉลาดปราดเปรื่องมาก จนกระทั่ง ไม่สามารถคุย กับ นางสาว ข. รู้เรื่อง ก็เลยไม่แต่งงาน แต่ นาย ก. ในอีกจักรวาลหนึ่ง เป็นคนปัญญาอ่อน ที่มีมรดกมาก ก็เลยมีนางสาว ค. มาชอบ แต่งงานด้วย และกำเนิดบุตรชาย ๑ คน ชื่อ เด็กชาย ง.

เจอแค่นี้เข้าไป เอกภพ หรือ จักรวาล ที่บอกว่า เป็น เอกภพคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน ก็ไม่ใช่แล้วล่ะ เพราะ เด็กชาย ง. มีอยู่เพียง ๑ จักรวาล ในขณะที่ เอกภพคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน อีกจักรวาลหนึ่งนั้น ไม่มี เด็กชาย ง.

ความเป็น “คู่ขนาน” มันหายไป

นี่ล่ะ คือเหตุผล ที่ลุงพุฒ เชื่อสมมุติฐานนี้ ไม่ลง (ไม่แน่ใจ ว่ามันถูกจัดเป็น ทฤษฎี แล้วหรือยัง ลุงพุฒคิดว่า มันคงเป็นเพียง สมมุติฐาน เท่านั้น นะครับ)

จักรวาลคู่ขนาน
จักรวาลคู่ขนาน

แต่ว่า แต่ก่อนนี้ ลุงพุฒไม่เข้าใจ ว่ามันเกิดผิดพลาดที่ตรงไหน ที่ทำให้ เกิดความเชื่อ หรือจะเรียกว่า พยายามที่จะคาดคะเน ว่ามี เอกภพคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน

คือ จากการคาดหมายว่า เอกภพ หรือ จักรวาล กำเนิดมาจาก การระเบิด ของบิ๊กแบงก์ (Big Bang) ทำให้คาดหมายว่า ก่อนที่จะเกิด บิ๊กแบงก์ นั้น คือ ความว่างเปล่า ไม่มีอะไร

คือ เอกภพ หรือ จักรวาล เป็นเพียง จุด ที่ไม่มีขนาด ไม่มีความกว้าง ไม่มีความยาว ไม่มีความสูง และไม่มีเวลา (คือ มีมิติ เป็น 0)

ก็เมื่อกำเนิดขึ้นมา จากความไม่มีอะไร หรือ เป็น 0 ก็ทำให้เกิดความพยายาม ที่จะ สร้างเอกภพ หรือ สร้างจักรวาล ที่ผลรวมเป็น 0 ดังนั้น จึงมีแนวคิดว่า น่าจะมี เอกภพ ๒ เอกภพ หรือมี จักรวาล ๒ จักรวาล เกิดขึ้น พร้อมกัน โดยทั้งสองเอกภพ หรือ สองจักรวาล จะทำให้ ผลรวมเป็น 0

แต่ก่อน แนวคิดนี้ ตกผลึกไปเป็น สสาร – ปฏิสสาร (matter – antimatter) แต่ต่อมา กลับเป็น เอกภพคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน

สสาร และ ปฏิสสาร
สสาร และ ปฏิสสาร

แต่ที่ลุงพุฒ ไม่เข้าใจ ก็คือ แนวคิด เอกภพคู่ขนาน หรือ จักรวาลคู่ขนาน เกิดมาได้อย่างไร

เพราะว่า จากการติดตาม เสาะแสวงหาความรู้ ในเรื่องนี้ แต่ไหนแต่ไร ก็ไม่มีใครพูดในทำนองนี้ มาก่อนเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง มีหนังสือขายดีเล่มหนึ่ง ที่มีการแปลเป็นไทย และเป็นที่นิยมกัน พูดเรื่องนี้

ซึ่งก็เป็นเหตุการณ์กว่า ๑๐ ปี มาแล้ว ที่เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นมา ลุงพุฒก็ได้แต่รอ จังหวะเวลา จะทำหน้าที่ เปิดเผยความจริงขึ้น

รอความจริง เปิดเผย

จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ลุงพุฒได้ดูคลิป ที่เกี่ยวกับเรื่อง ควอนตัมฟิสิกส์ ในเชิงทฤษฎี จากช่องนี้ One To Many – A Brief Science ถึงได้รู้ว่า เอกภพคู่ขนาน จักรวาลคู่ขนาน มันเกิดจากการตีความข้อความนี้เอง “2 states at the same time”

ปัญหา มันมาจากคำว่า states นี่ล่ะครับ คือ ถ้าเราทำงานในวิชาชีพอย่าง ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ โดยเฉพาะถ้าเป็น ดิจิตอล เราก็คงจะแปลคำว่า state ว่า สถานะ เพราะเราจะคุ้นเคยกับ สถานะ เปิด / ปิด (ซึ่งก็มี ๒ สถานะ พอดี เสียด้วย)

แต่ถ้าหากเราอาศัยอยู่ใน สหรัฐอเมริกา คำว่า states เนี่ย มันปรากฎอยู่ในชื่อประเทศของเขานะครับ United States of America มันก็จะทำให้เขา เข้าใจไปได้ว่า อยู่ ๒ ที่ ในเวลาเดียวกัน

ซึ่งในกรณีนี้ เขาพูดถึง อนุภาค ในทางควอนตัม มันมีคุณสมบัติ “2 states at the same time” อยู่ด้วย ก็เลยคิดว่า อนุภาค สามารถอยู่ได้ ๒ รัฐ ในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือ อยู่ได้ ๒ ที่ ในเวลาเดียวกัน

หมุดแสดงรอยต่อ ๔ รัฐ ใน สหรัฐอเมริกา
หมุดแสดงรอยต่อ ๔ รัฐ ใน สหรัฐอเมริกา

พอตีความได้อย่างนี้ ก็อาจจะไปตอบสนองต่อ need ของคนที่คลั่งไคล้ วิทยาศาสตร์ แบบ Sci-fi หรือ science fiction ซึ่งก็คือ นิยายวิทยาศาสตร์ นั่นเอง

ความสับสน เกิดจาก ภาษา

และในความเห็น ของลุงพุฒเอง ลุงพุฒยังมองอีกว่า แม้ว่าเราจะแปลถูก ว่า state ในที่นี้ คือ “สถานะ” แต่การตีความ ว่าอนุภาค มี ๒ สถานะ พร้อมกัน ก็ผิดไป โดยลุงพุฒแยกออกเป็น ๒ กรณี นะครับ คือ

๑ การแสดงสถานะ ที่เป็นได้ทั้งสอง ในเวลาเดียวกัน มันเกิดจาก การศึกษา ควอนตัมฟิสิกส์ ที่ใช้ ทฤษฎีความน่าจะเป็น ซึ่งการหาความน่าจะเป็น จะเป็นการวัดด้วยช่วงเวลาหนึ่ง (ไม่ใช่เฉพาะจุดของเวลา จุดใดจุดหนึ่ง)

และความน่าจะเป็นนี่ล่ะครับ ที่ทำให้ มันมีโอกาสที่จะเป็นได้หลายอย่าง และเรายังไม่รู้ว่า มันจะเป็นอะไร จนกว่า เราจะดูมันจริงๆ

ตรงนี้ล่ะครับ ที่มันจะเข้าทาง การทดลองทางความคิด ของควอนตัมฟิสิกส์ ชื่อ แมวของชเรอดิงเงอร์ ลองไปอ่านดู ก็แล้วกันครับ

แต่ถ้าเป็นลุงพุฒ ลุงพุฒไม่คิดถึง การทดลองทางความคิด ที่ซับซ้อน อย่างนั้นหรอกครับ ลุงพุฒคิดง่ายๆ ใช้ของใกล้ตัวแทน ก็คือ “เหรียญ” กับ พฤติกรรมที่เราอาจคุ้นเคย โดยเฉพาะในวัยเด็ก นั่นก็คือ การปั่นแปะ

ปั่นแปะ
ปั่นแปะ

จากความรู้ ในสมัยเรียนมัธยมศึกษา เรารู้ว่า ความน่าจะเป็น ของเหรียญ ที่ออกหัว เป็น ๕๐% ที่ออกก้อย ก็เป็น ๕๐% อีกเช่นกัน ซึ่งเรารู้ ก็เพราะ มันผ่านการโยหัวโยนก้อย หรือ ปั่นแปะ มาไม่รู้เท่าไหร่

เกินล้านครั้งแน่นอน หากนับจากมีการ ศึกษา ความน่าจะเป็น เรื่องเหรียญ และการศึกษาตรงนี้ ก็ได้ให้ข้อสรุป ว่า การปั่นแปะ โอกาสที่เหรียญจะออกหัว เท่าๆกับที่จะออกก้อย (ยกเว้น โกง นะครับ)

ดังนั้น สมมุติ ว่าเราจะปั่นแปะครั้งต่อไป ในอีก ๑ วินาที ข้างหน้า แต่เรายังไม่ได้ปั่น แต่สถานะของเหรียญ ที่จะถูกปั่น ในอีก ๑ วินาที ข้างหน้า มันก็เป็นไปได้ทั้ง ๒ อย่าง คือ ออกหัว หรือ ออกก้อย นั่นล่ะครับ หรือจะบอกว่า มันเป็น “2 states at the same time”

บางท่านอาจจะบอกว่า นั่นมันอนาคต แต่ลุงพุฒก็จะบอกว่า ก็ในเมื่อ เราอยู่มิติที่เป็น “ปริภูมิ-เวลา” หรือ “space-time” ทำไมจะต้องยกเว้น ไม่พูดถึง เหตุการณ์ ที่ t+1.0 วินาทีด้วยเล่า

ก็เมื่อปั่นแปะเสร็จแล้วในเวลา t+1.0 วินาที แต่เอาฝ่ามือปิดไว้ ในขณะที่เรายังไม่เปิดฝ่ามือขึ้นมา เหรียญบาท ก็ยังมีโอกาสเป็น หัว หรือ ก้อย (ในความรับรู้ของเรา) ได้เท่าๆกัน

นั่นก็คือ 2 states of the same time นั่นเอง

๒ ส่วนในอีกกรณีหนึ่ง ก็คือ พฤติกรรมของ ควอนตัม (ควอนตัมแปลว่า ก้อน ของอะไรสักสิ่ง) ที่เป็นไปได้ทั้ง อนุภาค และ คลื่น ทำให้ดูเหมือนว่า สามารถเป็นได้ทั้ง ๒ อย่าง ในเวลาเดียวกัน ทั้งๆที่ หากเรามองสิ่งรอบตัว ด้วยประสบการณ์ของเราเอง เราก็พบว่า ทั้งคลื่น และ อนุภาค มันมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง (และมีความพยายาม ที่จะอธิบาย ด้วย ฟังก์ชั่นคลื่น หรืออะไรก็แล้วแต่)

เป็นได้ทั้งอนุภาค เป็นได้ทั้งคลื่น
เป็นได้ทั้งอนุภาค เป็นได้ทั้งคลื่น

เพียงแต่ลุงพุฒ ก็คิดว่า การที่เราจะเห็น ควอนตัม แสดงพฤติกรรมเป็น อนุภาค หรือ คลื่น ก็เพราะเราเอาเครื่องมือ หรือ อุปกรณ์ ใด ที่จะเห็นพฤติกรรม ของควอนตัม ที่จะแสดงออกมา นั่นเอง คือ ถ้าเครื่องมือนั้น วัดพฤติกรรม ในทำนองคลื่นออกมาได้ ควอนตัมก็จะแสดงพฤติกรรมเป็นคลื่น แต่ถ้าเราเอาเครื่องมือ ที่วัดพฤติกรรม ในทำนองอนุภาคออกมาได้ ควอนตัมก็จะแสดงพฤติกรรมเป็นอนุภาค

เหมือนๆกับที่ เรามีสายตา ที่เห็นแสงในช่วงแสงสีขาว ตั้งแต่สีแดง ไปจนถึงสีม่วง เราจะจินตนาการออกได้มั้ยล่ะครับ ในแสงช่วงอุลตราไวโอเล็ต ที่พวกแมลงมองเห็น มีสีอื่นที่แตกต่างไปจากสีที่เรารู้จัก ได้หรือเปล่า มันอาจสี ที่ไม่อาจผสมเลียนแบบได้ ด้วย RGB ที่เรานำมาสร้างโทรทัศน์ก็ได้ นะครับ

บทสรุป

เขียนมาตั้งนาน ก็เพื่อจะบอกเพียงว่า False Information หรือ Fake News ไม่ได้มีอยู่เฉพาะ ในวงการสื่อสังคม โดยทั่วไป ที่คิดกันว่า มีแต่คนที่ ไม่มีการศึกษา เท่านั้น ที่จะเสพข่าว หรือเสพข้อมูลข่าวสาร ทำนองนี้

False Information / Fake News
False Information / Fake News

เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ในระดับ นักวิทยาศาสตร์ ที่มีความคิด สุดแสนจะสลับซับซ้อน ก็พร้อมจะคว้า False Information หรือ Fake News เอาไว้ ขอเพียงแค่ มีอะไรบางอย่าง มาสนับสนุน หรือส่งเสริม สิ่งที่ตนเองคิดไว้ ก็พร้อมจะคว้ามันไว้

มันยิ่งทำให้เห็นว่า ภูมิต้านทาน ที่จะมีต่อ False Information หรือ Fake News นั้น สร้างกันขึ้นมาไม่ได้ง่ายๆ แม้แต่ลุงพุฒเอง บางครั้ง ก็ยังพลาดได้เหมือนกัน

ก็เหลือแต่ทางออกสุดท้าย ที่ลุงพุฒ มักใช้บ่อยๆเสมอๆ นั่นก็คือ รอดู หรือ wait and see ครับ (แต่ก็ใช่ว่า จะใช้ได้ผลดี เพราะตัวปัญหาอีกอย่าง ที่จะตามมา และสร้างอุปสรรคปัญหา ให้กับ วิธีนี้ คือ “ลืมง่าย” น่ะครับ คำว่า “คนไทยลืมง่าย” เราคงเคยได้ยิน กันนะครับ

วัชรพล ศิริวัฒน์ (ลุงพุฒ)
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๕ (เมื่อคืนวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๕ มีข่าวว่า งานฉลองฮาโลวีน ที่เกาหลีใต้ มีคนเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ นับร้อยๆคน อ้างอิง https://mgronline.com/around/detail/9650000103558 ในเนื้อข่าว มีคลิป ที่เด็กๆไม่ควรดูครับ)
รายละเอียด: https://nakamole.com
ค่าครูและหมายเลขบัญชี: https://nakamole.com/#price
facebook fanpage: https://www.facebook.com/nakamole/